ความคิดสมัยใหม่ (Modernism, Modernity or Modernization) ตาม Habermas (1987) และ Barry Smart กล่าวเอาไว้ว่า เริ่มมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มาจากภาษาละตินว่า “modernus = modern” เป็น การพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่ในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปสู่สิ่งอื่น แล้วต่อมาไม่นาน ก็มีการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่อีกในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปแสวงหาความรู้จริงสิ่งสากล พยายามรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายในสากลโลกตามความเป็นจริง รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายด้วยจิตหรือปัญญา เพราะอิทธิพลแนวความความคิดของคานต์ (Kant’s conception of a universal history) เป็นกระบวนการความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมจากเก่าไปสู่ใหม่ (Turner, 1991: 3) เป็น การแสวงหาความรู้จริงของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามการเปลี่ยนแปลงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของโลกทางสังคม เพราะความเป็นมาของสังคมนี้เชื่อศรัทธาในพระเจ้าเป็นผู้สร้างกำหนดบันดาล ไม่เชื่อมนุษย์และธรรมชาติคือผู้สร้างกำหนดแสดง
แนวคิดใหม่ทันสมัย นักปราชญ์หรือนักคิดทางสังคมบางคนกล่าวบอกว่า ควรนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) แต่นักสังคมวิทยาส่วนใหญ่เห็นว่า แนวคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) เป็นยุคประวัติศาสตร์ของสังคมยุโรปตะวันตก ที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นยุคที่สนใจศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบวิทยาศาสตร์ (Scientism) มาช่วยแก้ปัญหาสังคมทั้งหลายที่เกิดขึ้น แล้วส่งผลมีอิทธิพลต่อการศึกษาสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ของคองต์ในเวลาต่อมา (Comte’s positivism)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงถือได้ว่าเป็นยุคความคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) อันหมายถึงยุคสมัยให้ความสนใจในเรื่องศิลปะ วรรณคดี วิทยาการ สถาบัน เหตุผล การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ รูป แบบของชีวิต ความจริงของชีวิตบนฐานของความเจริญเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก กล่าวคือเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญทางวัตถุ ความมั่นคงทางสังคม และความรู้เข้าใจตนเอง (Material progress, social stability and self-realization) ในยุโรปตะวันตก มีอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส อิตาลี เป็นต้น แม้มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดสมัยใหม่ ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ คือ ความจริง (Truth) เหตุผล (Rationality) วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) ผลของอุตสาหกรรม (Emergence of capitalism) การแผ่อำนาจทางตะวันตก (Western imperialism) การแพร่กระจายความรู้ และอำนาจทางการเมือง (Spread of literature and political power) การขับเคลื่อนทางสังคม (Social mobility) เป็นสาเหตุสำคัญสนับสนุนส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมโลก ที่เรียกกันว่า “สมัยใหม่ความทันสมัย (Modernism)” เพราะ ผลของความเจริญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนทางสังคม ทำให้มนุษย์ต้องการรู้เข้าใจตนเองและสังคมมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ต้องมาคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความถูกต้องดีงามแบบสากล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกร่วมกัน เพื่อความรู้เข้าใจใหม่ร่วมกัน จึงขอลำดับเหตุการณ์การวิวัฒนาการแนวความคิดใหม่ทันสมัย ดังนี้
คริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
ในสังคมยุโรปตะวันตก ได้สนใจและค้นพบวิทยาการเก่าๆ ทั้งหลาย โดยเฉาะงานของเพลโต้ (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotle) ยุค นี้ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างมาก แต่ก็มีกลุ่มนักคิดนักปราชญ์พยายามปฏิเสธความเชื่อและคำสอนเกี่ยวกับพระเจ้า เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า เป็นสิ่งไม่มีตัวตน มองไม่เห็นสัมผัสจับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผลพิสูจน์ไม่ได้ จึงได้เกิดแนวคิดความเชื่อและลัทธิใหม่ขึ้นมา โดยเฉพาะความคิดความเชื่อในเรื่องความเป็นมนุษย์ ความจริงความถูกต้องดีงาม มาแทนความคิดความเชื่อเคารพศรัทธาในเรื่องพระเจ้า พยายามไล่กำจัดพระเจ้าออกไปจากสังคมมนุษย์ เพราะอิทธิพลแนวความคิดของเพลโต้ (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotle) มอง เห็นคำสอนของศาสนาดั้งเดิมเป็นของเก่าล้าหลังไม่ทันสมัย เป็นการจุดประกายแสวงหาความจริงความถูกต้องดีงามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากถูกปิดกั้นมานาน โดยแนวความคิดความเชื่อที่ว่า สรรพ สิ่งทุกอย่าง มนุษย์ โลก มาจากเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างกำหนดลิขิตบันดาลให้เป็นไปในโลกทางสังคม ทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปด้วยดี สร้าง มนุษย์ขึ้นมาก็เพื่อให้รู้จักกับพระองค์ท่าน ต้องปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน มีความจงรักภักดีศรัทธาในพระองค์ท่าน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ ชีวิตเกิดขึ้นเป็นไปตามลิขิตบัญชาของพระองค์ท่านหรือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นี้ แนวคิดอย่างนี้เชื่อศรัทธาพระเจ้ามีอิทธิพลบทบาทอย่างมากต่อชีวิตและจิตใจ ของชาวโลกตะวันตกถึงปัจจุบัน
คริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ยุคแห่งการสำรวจและปฏิรูปศาสนาคริสต์*
ศตวรรษนี้ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการสำรวจ พร้อมกับเผยแผ่ศาสนาวัฒนธรรมล่าอาณานิคมหรือล่าเมืองขึ้น (ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรา, 1350-1767 AD) วิทยา การที่เจริญก้าวหน้าขึ้นทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และการเดินเรือ นักสำรวจชาวยุโรปต่างพากันออกทะเลล่องเรือสำรวจโลกใหม่ทั้งทางตะวันตกและ ตะวันออกที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นทวีปเอเชีย อเมริกา อาฟริกาหรือออสเตรเลีย การเดินทางของพวกเขาถือได้ว่าเป็นการเผยแผ่เชื่อมโยงวัฒนธรรมของโลกเป็น ครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่กระจาย “ความทันสมัย” แบบตะวันตกไปทั่วโลก
ความเป็นไปในทุกระบบของสังคม มักมีศาสนาเข้าไปมีอิทธิพลบทบาทเกี่ยวข้องในทุกส่วน ระหว่างยุคกลางสังคมยุโรป (1000 – 1500 AD) คริสต์ ศาสนาอิทธิพลบทบาทอย่างมากในทุกระบบของสังคม การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เพราะความเจริญเปลี่ยนแปลงทางสังคม การปฏิรูปศาสนาคริสต์โดยคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มหนึ่งก็เกิดขึ้น โดยการตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ขึ้นมา เนื่องจากพวกเขา เห็นว่า คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมนิกายคาทอลิกเก่าล้าหลังไม่ทันสมัย ไม่ช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมให้ดีขึ้น ซ้ำยังเป็นแหล่งมั่วสุมอิทธิพลผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม และพวกเขาเชื่อว่า คำสอนของนิกายใหม่โปรเตสแตนต์จะช่วยฟื้นฟูสนับสนุนส่งเสริมคำสอนเดิมให้ทัน สมัยเหมาะสมกับยุคสมัยอย่างแท้จริง สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้ ทำให้เกิดการขัดแย้งทางความคิดและการปฏิบัติอย่างรุนแรง สร้างความสับสนสงสัยในศาสนาคำสอนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้คริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิมลดอำนาจอิทธิพลและบทบาทลงเป็นอย่างมาก นำไปสู่การแตกแยกระหว่างอาณาจักรและศาสนจักรในเวลาต่อมา
คริสต์ศตวรรษที่ 17 ยุคแห่งวิทยาศาสตร์
ในศตวรรษนี้ ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลบทบาททางสังคมและการเมืองลดน้อยลงตามลำดับ (Secularization) เมื่อ มีความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์มากขึ้น มนุษย์รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล คิดมองเห็นชีวิตและสังคมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องของเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เป็นไป แต่เป็นเรื่องของความจริงมีเหตุผล คนเลยหันไปสนใจในความจริงธรรมชาติและเหตุผลมากขึ้น สนใจความเป็นจริงของมนุษย์และโลกทางสังคม ศึกษาหาความรู้ต่างๆ ทั้งหลายที่สามารถพิสูจน์ทดลองได้ตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าพิสูจน์ทดลองอย่างมีเหตุผลเป็นระเบียบแบบแผน ที่เรียกกันว่า “วิทยาศาสตร์สมัยใหม่” (New science)
ความ เจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สะดวกสบายพรั่งพร้อม ไปด้วยวัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ ละเลยไม่สนใจความสุขทางจิตใจ เป็นสังคมวัตถุหรือวัตถุนิยม ความเจริญทำให้เกิดแนวคิดและทฤษฎีใหม่ต่างๆ มากมาย ช่วยในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและ ความเร้นลับทั้งหลายที่เคยสงสัยกันมา คำถามที่วิทยาศาสตร์พยายามแสวงหาคำตอบ คือ ความจริงแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร มนุษย์จะปฏิบัติตนต่อสิ่งต่างๆ ทั้งหลายให้ถูกต้องได้อย่างไร พยายามรู้เข้าใจตนเองและสังคมอย่างถ่องแท้ เป็นคำถามเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตและหลักการดำเนินชีวิตจริง โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิตและ สังคมมนุษย์ ส่งผลให้เกิดการคิดใหม่ เขียนเรียบเรียงใหม่ และตั้งทฤษฎีใหม่ในหลายศาสตร์หลายด้าน (Metatheory = second order accounts of theories or second order theories of theories) ไม่ ว่าในวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไม่ว่าทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และพฤติกรรมมนุษย์ มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับ กลายเป็นว่าความรู้แนวคิดทฤษฎีทั้งหลายที่มีอยู่เดิมนั้น ไม่ดีไม่ถูกต้องเที่ยงธรรมไม่มีเหตุผลไร้ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติ ได้อย่างแท้จริง
เพื่อเป็นการยืนยันอ้างอิงทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาใหม่ (Metatheory) จึงขอเสนอแนวคิดทฤษฎีทางสังคมวิทยาที่เห็นว่าใหม่ล่าสุด คือ แนวคิดภาพสร้างทางสังคม (Social constructionist approach) แนว คิดภาพสร้างทางสังคม ภาพที่มนุษย์สังเกตเห็นหรือสร้างขึ้นในใจเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายรอบตัวเขา เขาสังเกตเห็นอะไรคิดอะไร สิ่งนั้นก็เป็นภาพสร้างสำหรับเขา แนวคิดภาพสร้างทางสังคม เห็นความจริงทางสังคมประกอบด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมหลากหลายมากมาย ที่เกี่ยวกับการกระทำระหว่างกันและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง อันรวมไปถึงความหมาย การแสดง ประสบการณ์ และการปฏิบัติติดต่อ แต่ละคน แต่ละกลุ่มคน แต่ละครอบครอบ แต่ละสถาบัน แต่ละระบบกฎเกณฑ์ และแต่ละปรากฏการณ์ทางสังคมล้วนแสดงกระบวนการที่ซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ ปรากฏการณ์ทางสังคม อันนำไปสู่การสร้างความจริงแห่งโลกทางสังคม จริงๆ มันยากที่จะเข้าใจความหมายขอบเขตปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนั้น แต่ นักสังคมวิทยาก็ได้พัฒนากรอบแนวความคิดเพื่ออธิบายและเข้าใจโลกทางสังคม ปัจจุบันว่า ความจริงของโลกทางสังคม มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะอย่างต่อเนื่อง 2 ประการ คือ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะในระดับเล็กและใหญ่ (Microscopic-macroscopic continuum) นักสังคมวิทยาสังเกตเห็นว่าโลกทางสังคมมีความจิรงอยู่ 2 ระดับ คือระดับเล็กและใหญ่ อันได้แก่ การกระทำของแต่ละบุคคล (Individual actions) การกระทำระหว่างกันทางสังคม (Social interactions) กลุ่ม (Groups) องค์กร (Organizations) สังคม (Societies) และโลก (World systems) 2. กระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะวัตถุกับจิต (Objective-subjective continuum) ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุ (Objective social phenomena) แสดง ถึงความจริงมีวัตถุอยู่ หมายถึงผู้กระทำหรือแสดงทางสังคม การกระทำ สัมพันธ์ องค์กร โครงสร้าง และกฎหมาย เป็นที่ทราบกันดีว่า ในความจริงของโลกทางสังคมนี้ ไม่มีแต่ปรากฏการณ์ทางสังคมวัตถุอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยปรากฏการณ์ทางสังคมจิตหรือกระบวนการทางจิต (Subjective social phenomena or mental processes) กระบวน การนี้เป็นลักษณะจิตที่ประกอบด้วยบรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม ทัศนคติ ประเพณี และวัฒนธรรมอื่นๆ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างความจริงทางสังคม (Berger and Luckmann, 1967, Edel, 1959: 167, Korenbaum, 1964: IX และ Ritzer, 1996: 642-646)
ลักษณะ สำคัญของแนวคิดภาพสร้างทางสังคม ก็คือมนุษย์เป็นผู้สร้างความจริงทางสังคม แสดงพฤติกรรมการกระทำระหว่างกันทางสังคม อันได้แก่การแสดงในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ประสบการณ์ ความสัมพันธ์ และการปฏิบัติติดต่อ มนุษย์เองเรียนรู้พัฒนาปรังปรุงเปลี่ยนแปลงความหมายความเข้าใจเรื่องโลกและ ความสัมพันธ์ของพวกเขาตามความเป็นจริงทางสังคม (Ritzer, 1992: 176 และ Hutchison, 1999: 49) ฉะนั้น กระบวนการความจริงทางสังคมจึงประกอบด้วยหลายเหตุหลายปัจจัย มนุษย์จำต้องรู้และเข้าใจตนเองกับกระบวนความจริงทางสังคมเหล่านี้ รู้เข้าใจกระบวนการสังคมตามความจริง แล้วปฏิบัติให้สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์ของมัน ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องมีเหตุผล คือปฏิบัติถูกต้องมีเหตุผลต่อตนเอง สังคม และสัจจธรรมความจริงทางสังคม อันส่งผลให้ชีวิตและสังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดำเนินไปด้วยดีถูกต้องมี เหตุผลเป็นธรรมมีประสิทธิภาพประสิทธิผลไร้ปัญหา
ที่มา : http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=518&Itemid=148&limit=1&limitstart=4
ความคิดสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่. โดย ดร.สุเทพ สุวีรางกูร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น